Neocell Fish Collagen + Hyaluronic Acid

Neocell Marine Collagen, 120 Capsules

Promotes youthful hydrated skin

Collagen support complex

ราคา 690 บาท




Neocell Fish Collagen + Hyaluronic Acid
ขาย Neocell Fish Collagen + Hyaluronic Acid  นำเข้าเองจาก USA ราคาถูกที่สุดในประเทศ ติดต่อ 090-1375657
Promotes youthful hydrated skin 
Collagen support complex
NEOCELL  SUPER COLLAGEN  มาตรฐานสูงสุดในไทยในขณะนี้ โดยขึ้นทะเบียนในอเมริกา คัดเกรดเป็น Pharmaceutical Food Grade
Neocell Fish Collagen + Hyaluronic Acid -เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวพรรณและ เติมเต็มการสูญเสียไปทุกๆวันของคอลลาเจน Type 1 อย่างมีประสิทธิภาพ  ซึ่งจะเป็นชนิดที่พบมากสุดในผิวหนังมนุษย์  และจะมีมากในวัยหนุ่มสาว อีกทั้งยังสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ด้วยกระบวนการไฮโดรไลซิส โมเลกุลคอลลาเจนมีขนาดเล็กดูดซึมสู่ผิวได้ดีเต่งตึงรวดเร็วเหมือนวัยหนุ่ม สาวและอีกทั้งยังมีส่วนประกอบที่เรียกว่า กรดไฮยาลูโรนิค ที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นเต่งตึงไม่แห้งกร้าน ทดแทนการสูญเสียไฮยาลูโรนิคที่ร่างกายสร้างขึ้นแต่ถูกทำลายด้วยเอนไซม์ไฮยา ลูโรนิเดสจากสารอนุมูลอิสระหรือรังสียูวี  นอกเหนือจากนี้ยังช่วยบำรุงน้ำหล่อเลี้ยงข้อ  บำรุงน้ำหล่อลื่นดวงตา  สาร copper อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบจะช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้อีกด้วย

 

 

Collagen คืออะไร

คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla แปลว่า “กาว”
     เพราะเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่มี Polypeptide 3 สายประกอบกันเป็นเกลียวเส้นใย มีหน้าที่สำคัญในการเชื่อมและยึดจับเซลล์เนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน เช่น เส้นเอ็น ข้อต่อกระดูกต่างๆ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเลือด สามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีปริมาณถึงร้อยละ 33 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกาย ต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควัน พิษ ต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อน เวลาและวัยอันควรปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัดเป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง เนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เส้นผม เล็บ  ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า “กาวแห่งชีวิต” เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิว หนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบ เนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม
การสังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนัง แท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ 1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ  2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ 3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว
Collagen มีกี่แบบ
ในปัจจุบันแบ่งคอลลาเจนออกเป็น 29 รูปแบบ แต่มากกว่า 90% ของคอลลาเจนใน   ร่างกายจะมีอยู่ใน 4 รูปแบบต่อไปนี้
ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุด ผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ  แต่เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5%  ต่อปี เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึ้นใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณแห้งกร้านตามมา
นอกจากการเสื่อมสลายไป ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น เช่น รังสียูวีจากแสงแดด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อนในอาหาร อนุมูลอิสระ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น
Collagen กับสุขภาพ  
เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจน อย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีน แต่เนื่องจากร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ทำให้คนเรามีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฯลฯ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น  การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยม มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์
Collagen กับผิวพรรณ
นอกจากคอลลาเจนจะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดการอักเสบของผิวหนัง ใช้เป็นไหมละลายในการผ่าตัด ใช้เป็นสารบุร่องเหงือกและใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว ในวงการผิวพรรณและความงามก็นำคอลลาเจนมาใช้เป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลายเช่น กัน อาทิ สกินแคร์ที่มีสารไมโครคอลลาเจน (Microcollagen) และวิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ หรือการฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง (Collagen Replacement Therapy)  ซึ่งทำให้ผิวเรียบตึงขึ้นได้ทันตา แต่ต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น เกิดตุ่มนูนเรื้อรังจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ จึงควรทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดเสมอ
ส่วนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย นิยมใช้คอลลาเจน Type I ที่สกัดจากปลาทะเล (Bio-marine Collagen) เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ซึ่งมักนำมาตัดพันธะเคมีด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีโมเลกุลเล็กลงและ ง่ายต่อการดูดซึม เรียกว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือคอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate) ถือเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรว์ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการรับประทาน อาหารประเภทโปรตีนในปริมาณมากก่อนเข้านอน
Collagen กับตัวช่วย
ยังมีอีกหลายตัวช่วยที่ยืดอายุคอลลาเจนให้อยู่กับเราได้นานขึ้น
• รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม นอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเน้นผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพราะมีคุณสมบัติปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดี
• คงความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ยิ่งผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากเท่าไหร่ ริ้วรอยถาวรก็ปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น จึงควรชะลอวัยให้ผิวด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน โปรคอลลาเจน อิลาสติน เอเอชเอ หรือเรตินอล ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ใช้ชีวิตอย่างพอดี ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ดีเพียงไร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบหมู่ และทำจิตใจให้แจ่มใส ก็ยังเป็นวิธียืดอายุคอลลาเจนที่สำคัญที่สุด หากรักษาสมดุลการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมแล้ว สุขภาพดีและผิวพรรณอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแน่นอน
การสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)
น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเรา เมื่อ มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปีและเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหา เรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะ ค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็น เงาตามตัว
อัตราการเริ่มสูญเสียคอลลาเจน (collagen) เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป
- อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็น ชัดเวลาหน้านิ่ว มีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
- อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีก ครั้ง มีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
- อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
- อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ ต้องเกิดขึ้นกับ ทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เพื่อทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การนำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธีคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง ได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆ ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน (collagen) ก็จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน (collagen) ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า แต่เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักจึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้นจึงไม่สามารถ แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีดคอลลาเจน (collagen) เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่า วิธีการรับประทานนั้นง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้การรับประทานนั้นยังเป็นการนำ คอลลาเจน (collagen) เข้าไปเสริมสร้างทั้งส่วนของผิวหน้าและผิวพรรณทั่วร่างกาย โดยผลการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารที่สกัดจากโปรตีนของ ปลาทะเลน้ำลึกบางประเภทที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง คอลลาเจน (collagen) ของผิวคนเรา โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis เป็นประจำอย่างต่อเนื่องนั้น สามารถช่วยเสริมสร้าง คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยปกป้องและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้งกระด้าง ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย
บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน (collagen)
คอลลาเจน (collagen) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือ เสื่อมสภาพลงเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน
มิติใหม่ของการนำ Collagen มาใช้ประโยชน์
โดย ภก.ประวิทย์ ตันติสุวิทย์กุล
ที่ปรึกษาองค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข
ที่มา : วารสารสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ฉบับที่ 27 สิงหาคม 2549
Collagen ก็คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบเป็นกรด amino ชนิดที่แตกต่างจากโปรตีนอื่นๆ ของร่างกาย มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึง “กาว” โดยคนในยุคนั้นนิยมนำหนังสัตว์ไปเคี่ยว เพื่อให้ได้กาวเหนียวๆนี้มาใช้งาน
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัดเป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments)
Collagen นี้จะช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง มีหน้าที่ในการป้องกันอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆให้อยู่ด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นดี เช่น ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับหรือเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะจำเป็นต่อเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนบริเวณข้อในการรับน้ำหนักและขยับ เคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆ เช่น เดินหรือวิ่ง เป็นต้น โดยในร่างกายของคนเราพบว่ามีโปรตีนอยู่มากมาย แต่มีประมาณ 33% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายจะเป็น collagen และยังเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 75 ของผิวหนัง จึงเป็นตัวที่ช่วยให้ผิวหนังหรือผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น นุ่มนวล ดูสดใส กระชับและเต่งตึงขึ้น ซึ่ง collagen ที่พบในส่วนของผิวนี้จะพบที่ชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นผิวชั้นที่ 2 ที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้าและเป็น collagen ชนิดที่ 1,3 และ 4 แต่ถ้าเป็นชนิดที่พบในกระดูกอ่อนตรงข้อ จะเป็น collagen ชนิดที่ 2
ระดับของ ปริมาณ collagen ในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น คือ เมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี อัตราการสร้างหรือสังเคราะห์ collagen จะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุกๆปี และจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเมื่อระดับของ collagen ลดลง ก็จะทำให้ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่าง กายลดลงด้วย ช่วงที่ collagen ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็จะเริ่มสูญเสียความแข็งแรงของผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน ตรงข้อต่อ ที่เป็นสามเหตุของปัญหาโรคข้อเสื่อมตามมา จนเกิดปัญหาปวดข้อ ข้อฝืด ข้อแข็ง ข้อผิดรูป และข้ออักเสบ เป็นต้น ในส่วนของผิวหนังก็จะเกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยตีนกาเกิดขึ้น
ในเวลาต่อ มาจึงได้มีการนำสารสกัด collagen มาใช้ประโยชน์ในรูปของ collagen hydrolysate คือ มีชนิดที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงผิว ลดริ้วรอยต่างๆ กับอีกชนิดหนึ่งที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงข้อ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะแตกต่างกัน โดยได้มีการศึกษา ค้นคว้า และทดลองสกัดสาร collagen ชนิดที่ 2 จากกระดูกอ่อนของหมูในรูปของผง แล้วนำมาใช้ประโยชน์ในโรคข้อเสื่อม ผลก็คือเมื่อให้รับประทานวันละ 10 กรัม เป็นเวลา ต่อเนื่องกัน 3 เดือนขึ้นไป พบว่าไม่เพียงแต่ collagen hydrolysate จะสามารถเข้าไปทดแทนในเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนได้ ยังมีคุณสมบัติไปกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์ collagen type 2 ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกอ่อนตรงข้อต่อเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย พร้อมๆกับอาการปวดข้อและข้อยึดนั้นลดน้อยลงได้ เมื่อรับประทาน collagen hydrolysate ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป คือ จะช่วยทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น นอกเหนือจาก collagen hydrolysate ช่วยลดปัญหาเรื่องข้อเสื่อมได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระดูก เช่น ในผู้หญิงวัยทองที่จำเป็นจะต้องเสริม calcium และจำเป็นต้องใช้ยาที่ป้องกันการสลายตัวของ calcium จากกระดูกพบว่า collagen มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดการสลาย calcium จากกระดูกได้ดีกว่าการใช้ยา
แต่เพียง อย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นมิติใหม่อีกมิติหนึ่งของการนำ collagen hydrolysate มาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของข้อเสื่อมนอกเหนือจากเรื่องของผิวได้
ดัง นั้น การที่จะรับประทาน collagen hydrolysate ชนิดไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าจะใช้ประโยชน์กับส่วนไหน เช่น ผิว หรือ ข้อ เพราะจะเป็น collagen ที่แตกต่างกัน เนื่องจากที่ผิวหนังจะเป็น collagen ชนิดที่ 1 ,3 และ 4 ส่วนที่ข้อจะเป็นชนิดที่ 2 อีกทั้งส่วนประกอบสำคัญของข้อ จะแตกต่างจากผิวและอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย คือ จะประกอบไปด้วยน้ำ 60% proteoglycan 10% และ collagen ชนิดที่ 2 30% รวมทั้งจะแตกต่างกันทั้งขนาดและปริมาณที่จะรับประทานเพื่อให้เกิดผลตามที่ ต้องการด้วย
ปัจจุบัน นี้ได้มีการพัฒนา collagen hydrolysate ในรูปแบบที่รับประทานง่าย และมีรสชาติอร่อย เช่น นำมาทำเป็นผงไว้ชงดื่ม และให้ละลายง่ายในน้ำเย็น เป็นต้น ซึ่งในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกาและเยอรมันนี ผู้สูงอายุต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้มีคุณชีวิตที่ดีขึ้น อันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องของปัญหาข้อเสื่อม กับการเลือกรับประทาน “ Collagen” ซึ่งเป็นสารอาหารอย่างหนึ่งที่มิใช่ยา แต่มีคุณค่าและประโยชน์ต่อโรคข้อเสื่อได้ ทำให้ลดการใช้ยาแก้ปวด และยาต้านการอักเสบ รวมทั้งทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น ผลก็คือ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น